พ่อที่ไม่มีตัวตนของข้าพเจ้า


(นี่คือสิ่งที่พ่อพูดกับลูก ๆ)

ลูกเรียกพ่อว่าพระเจ้า ยะโฮวา อาหล่า และ ชีวา...
ลูกได้สร้างโบสถ์ วัด มัสยิด และรูปปั้น เพื่อพ่อ
ลูกทำสงครามในชื่อของพ่อ และสังเวยให้กับพ่อ
ลูกพูดว่า พ่ออยู่ในธรรมชาติ ในท้องฟ้า
อยู่ในทุกหนแห่ง
เมื่อลูกทุกข์ระทม ลูกเรียกหาพ่อให้ช่วยเหลือ
เมื่อลูกมีความสุข ลูกก็ลืมพ่อ
ลูกได้กราบไหว้พ่อในรูปที่เป็นมนุษย์
แต่ถึงกระนั้น ลูกก็ยังไม่รู้จักพ่อ
นักปราชญ์ และครู ได้พยายามชี้หนทางมายังพ่อ
แต่ไม่มีใครได้พบพ่อ

พ่อคือผู้ที่มีทุกความสัมพันธ์กับลูก
พ่อไม่เกิด และตาย เช่นเดียวกับลูก
พ่อคือแสง จุดเล็กๆที่มองไม่เห็น
ลูกคือจุดแสงเล็กๆที่ละเอียดอ่อนเช่นกัน
โลกของพ่อคือโลกแห่งความเงียบสงบ
ลูกเคยอาศัยอยู่กับพ่อ ณ ที่นั่น... ดินแดนสีทองแห่งความเงียบสงบนั้น
แล้วลูกก็ลงมาเกิดในร่างกาย และเริ่มสร้างเรื่องราวของลูก
ลูกลืมบ้านของลูก และพ่อ...
พ่อได้มาอีกครั้ง... เพื่อมาเตือนว่า ลูกคือใคร
พ่อได้มาอีกครั้ง ...เพื่อเปิดเผยถึงความลับของเวลาแก่ลูก
พ่อได้มาอีกครั้ง...เพื่อทำให้ลูกเต็มเปี่ยมไปด้วย
ความรัก พลัง และความสงบทั้งหมด
ที่หายไปจากลูกเป็นเวลานานแสนนาน ...



การเปรียบเทียบคุณสมบัติระหว่างลูกผู้เป็นดวงวิญญาณ
และพ่อผู้เป็นดวงวิญญาณสูงสุด

ลูกผู้เป็นดวงวิญญาณ
(มีทั้งหมด 5500 ล้าน)
พ่อผู้เป็นดวงวิญญาณสูงสุด
(มีเพียง 1 เท่านั้น)
อยู่ภายใต้วัฏจักรของการเกิดและการตาย เพราะมีการใช้ร่างกายที่คงอยู่ชั่วคราว เพื่อแสดงบทบาทบนเวทีละครโลก อยู่เหนือการเกิดและการตาย
เพราะเป็นผู้ไม่มีร่างกาย
อยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม (Law of Karma) ขณะที่ใช้ร่าง มีการกระทำเป็นตัวกำหนดให้ต้องติดอยู่ในบ่วงกรรม หรือได้รับการหลุดพ้น อยู่เหนือกฎแห่งกรรม เพราะไม่มีร่าง
จึงไม่มีบ่วงพันธะ
มีการเปลี่ยนแปลงทั้งชื่อและคุณสมบัติ ตามร่างที่ใช้ในแต่ละชาติเกิด มั่นคงทั้งในชื่อ คุณสมบัติ และสถานที่อยู่ เพราะท่านสมบูรณ์พร้อมตลอดเวลา ไม่มีการเปลี่ยนแปลง และเป็นที่พึ่งพาของมนุษย์ ที่แสวงหาความมั่นคงที่ขาดไป



พ่อได้รับการระลึกถึงในรูปพระเจ้ามากที่สุด

เราเคยรู้จักสิ่งต่างๆ จากการมองเห็น ได้ยิน ลิ้มรส สัมผัส หรือ ดมกลิ่น พวกเราส่วนใหญ่เติบโตขึ้นมาในวัฒนธรรมของการมองเห็นด้วยตา แตะด้วยมือ แล้วจึงเชื่อ จึงคุ้นเคยที่จะรับรู้สิ่งต่างๆในทำนองนั้น และเพราะว่าเราไม่สามารถเห็น ได้ยิน ได้ลิ้มรส สัมผัส หรือดมกลิ่น พระเจ้าได้ จึงมีคำถามเกิดขึ้นว่า พระเจ้ามีจริงหรือ?

พระเจ้านั้นมีชีวิตอยู่ ณ จุดใดจุดหนึ่ง แต่ไม่ใช่อยู่ในทุกหนแห่ง ความคิดเกี่ยวกับพระเจ้า มักชักนำให้มองสูงขึ้นเสมอ เหมือนจะคาดหวังว่าจะมีใบหน้าปรากฎขึ้นอย่างอัศจรรย์ จากเบื้องหลังเมฆ หรือลำแสงที่ทอดลงบนจากดวงจันทร์ เป็นความคิดที่มีพลัง เพราะเป็นวิธีการเชื่อมดวงวิญญาณหนึ่ง(เรา) กับดวงวิญญาณหนึ่ง(พระเจ้า) และหากเชื่อมต่อได้อย่างถูกต้อง เราก็จะสามารถไปพ้นเมฆและดวงจันทร์ เข้าไปสู่มิติของแสงสีแดงทอง ที่ซึ่งดวงวิญญาณเท่านั้นที่จะสามารถเดินทางไปได้ เมื่อดื่มด่ำอยู่ในประสบการณ์ของความอบอุ่นแห่งแสงนี้ ดวงวิญญาณจะรู้สึกว่าได้กลับไปยังที่ที่จากมา ที่ซึ่งเป็นเหมือนบ้าน และอยู่กับพระเจ้า

เราคือดวงวิญญาณผู้เป็นลูก ๆ ของพระเจ้าผู้เป็นดวงวิญญาณเช่นกัน แต่ท่านไม่เหมือนพวกเราเพราะท่านเป็นดวงวิญญาณสูงสุด ดวงวิญญาณเดียวเท่านั้นที่ไม่มีร่างของตนเองในรูปที่หยาบเช่นมนุษย์หรือรูปที่ละเอียดเช่นเทวดา-นางฟ้า ท่านอยู่เหนือผลของการกระทำและไม่มีเพศ ท่านอยู่เหนือการเกิดและการตาย ความสุขและความเจ็บปวด ความสำเร็จและความล้มเหลว ท่านอยู่ภายนอกวงจรของเวลาในโลกที่มีตัวตนนี้ ท่านมีความรู้ของละครโลกในทุกมิติอย่างสมบูรณ์ ท่านคือสัจจะ และสามารถระลึกได้ด้วยดวงตาแห่งสัจจะ เราสามารถไปถึงพระเจ้าได้ด้วยความคิดที่บริสุทธิ์และมีสายใยเชื่อมโยงกับท่าน ดวงวิญญาณไม่ว่าจะอยู่ในร่างชายหรือหญิง จะสัมผัสกับการตอบรับของความรู้สึกที่บริสุทธิ์และพลังทางจิตได้ ก็ขึ้นอยู่กับธรรมชาติของความสัมพันธ์ มีเพียงพระเจ้าผู้เดียวเท่านั้นที่ใครๆก็สามารถมีความสัมพันธ์ได้ในทุกรูปแบบอย่างเต็มที่

เราไม่สามารถสัมผัสกับพระอาทิตย์โดยตรงได้ พระเจ้าก็เช่นกัน แต่ทั้งสองนั้นสามารถให้แสงสว่างและความอบอุ่นแก่ทุกคนได้ ไม่ว่าจะเป็นที่ใดหรือใครก็ตาม การกระทำที่สูงส่งของพระเจ้าได้รับการจดจำในคำว่า 'ชีวา' ในฐานะเป็นผู้ให้คุณประโยชน์ จึงเป็นผู้รับใช้ที่ไม่เห็นแก่ตัว และปราศจากแรงจูงใจที่เห็นแก่ตัวใดๆ เมื่อมนุษย์ระลึกถึงพระเจ้า คุณสมบัติภายในที่ดีงามทั้งหมดจะถูกดึงออกมาใช้ ได้แก่ ความรัก ความสงบ และความสุข ท่านในฐานะผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตา เมื่อถึงเวลาที่ถูกต้อง ท่านได้ลงมาอธิบายถึงกฎธรรมชาติ และสอนถึงวิธีทำกรรมที่ถูกต้อง ท่านในฐานะที่เป็นเมล็ดของต้นไม้ครอบครัวมนุษย์โลก ท่านได้หล่อเลี้ยงต้นอ่อนใหม่ของดวงวิญญาณมนุษย์ และทำให้เขาเป็นเครื่องมือ ในการเปลี่ยนแปลงโลกให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทุกสิ่งอีกครั้งหนึ่ง

ผู้คนอาจจะแปลกใจว่า เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ใช้ ไม้กายสิทธิ์เสก ชักนำให้ทุกคนทำในสิ่งที่ท่านต้องการ แต่ท่านนั้นไม่เคยเอาอิสรภาพไปจากผู้ใด ท่านรู้จักและเคารพต่อศักยภาพของแต่ละดวงวิญญาณ ท่านได้แบ่งปันความรู้ ให้ความเข้าใจในเรื่องของความรักและความเกลียดชัง ความสุขและความทุกข์ ชัยชนะและพ่ายแพ้ แต่ท่านไม่ได้เลือกทางเดินให้กับดวงวิญญาณ ความรักของท่านให้พลังแก่ดวงวิญญาณ ทำให้ดวงวิญญาณเป็นอิสระจากความขัดสน ที่มาจากกิเลส เช่น ความละโมบ ความโกรธ ตันหาราคะ ความหลงทะนงตน ความผูกพันยึดมั่น ท่านให้อิสระแก่ดวงวิญญาณที่จะเลือก ที่จะเป็นหรือไม่เป็น ที่จะรักหรือไม่รัก พลังของท่านช่วยให้ดวงวิญญาณได้ระลึกถึงศักยภาพที่สูงส่งที่สุดและมีเป้าหมายของความสมบูรณ์พร้อม ด้วยการฝึกฝนศิลปะในการดำรงชีวิตนี้ จะนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่มวลมนุษย์ทั้งหมด

ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร ฉันก็มีแหล่งของความช่วยเหลือและแหล่งพลังที่จะดึงมาใช้ได้เสมอ คลังแห่งพลังอำนาจและคุณธรรม อยู่แค่เอื้อมเดียวแห่งความคิด