แดนจักรวาล

ในดินแดนจักรวาล มีพระอาทิตย์ปกครองอาณาจักร ไพร่ฟ้าประชาชีมีความเป็นอยู่อย่างเป็นสุขมาเป็นเวลาช้านาน มนุษย์ทุกคนอยู่อย่างปราศจากกิเลส มีความคิดที่ดีงาม มีคุณธรรมที่สูงส่ง มีความสะอาดและบริสุทธิ์ในความคิด คำพูด และการกระทำ บริเวณรอบเขตของอาณาจักรที่ปกครองเป็นสวนที่มีต้นไม้ ดอกไม้สวยงาม ส่งกลิ่นหอม มีนกบินเป็นฝูงและเกาะตามกิ่งไม้ ส่งเสียงร้องเหมือนเพลง ทำให้มีความเพลิดเพลิน ปราศจากความคิดวิตกกังวลใด ๆ มนุษย์ทุกคนมีใบหน้าที่เบิกบาน เยือกเย็น ยิ้มแย้มแจ่มใส มีการให้ความร่วมมือกัน โดยสามารถส่งความรู้สึกและสนทนากันได้โดยผ่านทางดวงตา ไม่จำเป็นต้องมีการพูดคุยหรืออธิบายความมากนัก ดังนั้นจึงเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยความสงบสุข ร่มเย็น ทุกคนเต็มไปด้วยความพอใจเสมอมา

เวลาหลายพันปีต่อมา ดินแดนในจักรวาลนี้เริ่มมีผู้คนมากมายเกิดขึ้น ความงดงามและความบริสุทธิ์ของมนุษย์เริ่มค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ วิวัฒนาการของสิ่งแวดล้อม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีมากขึ้น ผู้คนมีการปรับตัวและแสวงหาวิธีการเพื่อการอยู่รอด มีการแข่งขันกันมากมายเกิดขึ้น ทั้งในวงการธุรกิจ สังคม ทั้งภาครัฐและเอกชน มนุษย์จะค่อย ๆ เริ่มสร้างเกราะขึ้นมา เพื่อให้ตนมีชีวิตที่อยู่รอดและสังคมยอมรับ ทำให้ความดีงามทั้งหมดที่มีมาตั้งแต่ดั้งเดิมเริ่มเปลี่ยนไป มีการแข่งขันมากมาย สภาพของสังคมเลวลง สมดุลของธรรมชาติเสียไป ภัยธรรมชาติมากมายจะเกิดขึ้น

วันหนึ่ง กษัตริย์ ผู้ปกครองดินแดนจักรวาล ทรงมีความห่วงใย ไพร่ฟ้าประชาชีจะเดือดร้อน สิ่งมีชีวิตทั้งหลายมีอันเป็นไปและล้มหายตายจากไปเป็นจำนวนมาก มีวิกฤตการณ์ภัยธรรมชาติมากมายเกิดขึ้น เช่น ภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหว น้ำท่วม ไฟฟ้าดับและมีโรคร้ายระบาดเกิดขึ้น ผู้คนได้รับความทุกข์ทรมาน อยู่อย่างไม่มีความสุข มีความวิตกกังวล ไม่กล้าตัดสินใจในการที่จะทำสิ่งใด พระองค์จึงมีพระราชดำริให้เรียกประชุมบริวารวัตถุธาตุทั้ง 4 ได้แก่ ดิน น้ำ อากาศ และไฟ ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบอยู่ในดินแดนจักรวาลมาพบ เพื่อฟังความคิดเห็นและให้เล่าประสบการณ์ที่อยู่ในดินแดนจักรวาล และต้องการทราบว่า มนุษย์มีความเพียรพยายาม อดทน อดกลั้น สามารถที่จะเผชิญกับอุปสรรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัวได้หรือไม่ และรู้จักใช้ทุกวินาทีที่ผ่านไปคุ้มค่าเพียงใด

การประชุมได้เริ่มขึ้นในวันเพ็ญ เดือน 9 ปีเถาะ (1999) โดยมีพระอาทิตย์ เป็นประธาน พระจันทร์ เป็นเลขา มีเหล่าบริวารที่มาร่วมประชุมด้วย คือ ดิน น้ำ อากาศ และไฟ พระจันทร์ เริ่มต้นด้วยการกล่าวรายงานว่า ในปีนี้ มนุษย์จะมีการเตรียมการฉลองปีศตวรรษใหม่ พระอาทิตย์ทรงมีความห่วงใยในคุณธรรม และความเป็นอยู่ของมนุษย์ในดินแดนจักรวาลแห่งนี้ จึงมีการสำรวจเมื่อครั้งล่าสุดในปีที่ผ่านมา พบว่ามนุษย์มีเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่เป็นคนดี มีคุณธรรม ส่วนใหญ่จะเต็มไปด้วยกิเลส มีตัณหาราคะ โกรธ โลภ ผูกพันยึดมั่น หลงทะนงตน อิจฉา ทำให้ดินแดนจักรวาลไม่มีความสงบสุข นอกจากนี้ อาจมีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้น มนุษย์จะมีความก้าวร้าวรุนแรง ขาดคุณธรรมและจรรยาบรรณ ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต ขาดสัจจะ มีการให้ร้ายต่อกันทั้งต่อหน้าและลับหลัง ดังนั้น พระอาทิตย์ ผู้ทรงคุณธรรมสูงส่ง เต็มด้วยสัจจะ ทรงดูแลจักรวาลด้วยความรักและห่วงใย จึงได้เชิญท่านวัตถุธาตุทั้ง 4 มาสนทนา เพื่อเล่าประสบการณ์ที่ได้สัมผัสมา

พระอาทิตย์ เริ่มกล่าวว่า ลูก ๆ ที่รักทั้งหลาย จักรวาลของเรามีอายุยืนยาวมานานหลายยุค และเป็นดินแดนที่เคยมีความสุขมานาน เหตุการณ์ทั้งหลายบนจักรวาลนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงไป ทุกชีวิตที่อยู่บนจักรวาลนี้เปรียบเหมือนตัวละครที่เล่นบนโรงละครใหญ่ ทุกคนมีบทบาทที่ถูกกำหนดไว้ให้เล่น บทละครที่ผ่านมาผู้แสดงมีสัจจะ เล่นไปตามบท จึงเต็มไปด้วยความถูกต้องและมีความสุข แต่ทุกวันนี้เหตุการณ์ต่าง ๆ ได้เปลี่ยนแปลงไป ลูก ๆ ดิน น้ำ อากาศ และ ไฟ ได้สัมผัสกับมนุษย์บนดินแดนจักรวาลนี้ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ลูก ๆ ทุกคน ลูกได้แสดงบทบาทตามที่ได้กำหนดไว้แล้วในบทละคร ทางด้านคุณธรรมความดี และการเป็นผู้พิพากษาต่อมนุษย์ในดินแดนจักรวาลนี้อย่างไร? จงเล่าให้พ่อฟัง โดยให้พิจารณาสำรวจตนเองและมีความซื่อสัตย์ อย่าได้ปิดบัง หรือมีความคิดวิตกกังวลใด ๆ ทั้งสิ้น บทบาททั้งหมดของลูก จะถูกนำมาใช้ในการพิจารณาเป็นแนวทาง ในการกำหนดอนาคตของมนุษย์ในศตวรรษใหม่ของดินแดนจักรวาลนี้ต่อไป

ดิน บอกว่า เพื่อนสมาชิกที่รักของฉันมีความแตกต่างกัน มีตั้งแต่ดินเหนียว ดินร่วน ดินปนทราย ดินดาน และหิน พวกเรามีบทบาทที่ให้คุณประโยชน์แตกต่างกัน ดินเหนียวจะมีความกลมเกลียวเป็นหนึ่งเดียวกัน มีความคงทนและแข็งแรง สามารถปรับตัวทำให้มีรูปร่างได้ตามความต้องการ เช่น เป็นภาชนะ เครื่องปั้นดินเผา แต่เวลาที่อยู่บนผิวดินที่มีการเพาะปลูกจะไม่มีประโยชน์อะไร เพราะน้ำไม่สามารถซึมผ่าน อาจทำให้ต้นไม้ตายได้ ส่วนดินดาน ดินร่วนหรือดินเหนียวปนทราย จะให้คุณประโยชน์แก่เกษตรกรมาก ช่วยให้การเพาะปลูกดี ส่วนหินและทรายจะถูกนำมาใช้ในการก่อสร้าง มนุษย์ได้ทิ้งเศษขยะมูลฝอย ซากพืชซากสัตว์ รวมทั้งมูลสัตว์มาทับถมอยู่ร่วมกับพวกเราเพื่อนชาวดิน แต่พวกเราจะมีพลังในการปรับตัวให้สามารถเข้ากับสิ่งที่ปะปนมาด้วย จึงทำให้พวกเราที่เป็นดินนั้นมีคุณค่ายิ่ง

ฉันจะอยู่อย่างมั่นคง ไม่สะทกสะท้านต่อการถูกเหยียบย่ำหรือโดนการโยนสิ่งของที่ไม่ต้องการ ซึ่งอาจมีกลิ่นเหม็น เน่า และสกปรก มนุษย์ได้ก่อสร้างตึกสูง ๆ อยู่บนพื้นดิน มีการนำเสาเข็มมาตอกเพื่อเพิ่มความแข็งแรงบนตัวฉัน และฉันก็จะถูกผสมปนกับซีเมนต์ ทำให้ฉันเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างมั่นคง หากมีความผิดพลาดในส่วนผสม ด้วยความตั้งใจหรือไม่ก็ตาม สักวันหนึ่งตึกสูง ๆ ที่สร้างนั้นก็อาจถล่มลงมา ทำให้ผู้คนบาดเจ็บและตายได้

หากมนุษย์มีความเห็นแก่ตัว คอยตัดไม้และทำลายป่า มีการขุดและทำลายหน้าดิน เพื่อประโยชน์ส่วนตัว พวกเราจะไม่สามารถยึดเกาะกันแน่น จะทำให้เกิดภัยธรรมชาติขึ้น มีน้ำท่วม ภูเขาถล่ม แม่น้ำเปลี่ยนทิศทาง นอกจากนี้อาจเกิด แผ่นดินไหว อาคารบ้านเรือนพังทลายลงมา ผู้คนล้มตายและบาดเจ็บมากมาย

ดังนั้นมนุษย์ควรเอาใจใส่ต่อธรรมชาติ ไม่โลภมาก ให้มีความสมดุลในสิ่งที่ทำ มิฉะนั้นภัยธรรมชาติจะเกิดตามมามากมาย

พระอาทิตย์ บอกว่า ดินมีความมั่นคง ละวาง ไม่โกรธ หรือผูกพันยึดมั่น สามารถให้คุณประโยชน์มากมาย มนุษย์จำเป็นต้องมีความระมัดระวังในการอยู่บนแผ่นดินนี้ และใช้ผืนดินนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ส่วนน้ำ มีประสบการณ์อย่างไรบ้าง?

น้ำ ได้กล่าวขอบคุณพระอาทิตย์ที่ให้โอกาสเล่าประสบการณ์ จึงพูดว่า ฉันเป็นมหาสมุทรที่ยิ่งใหญ่ โดยธรรมชาติของฉันนั้น เต็มไปด้วยความสงบ เยือกเย็น และบริสุทธิ์ ฉันจะมีความยุติธรรม เสมอภาค และเท่าเทียมกันตลอดเวลา ไม่ว่าฉันจะอยู่ที่ไหน ก็จะรักษาระดับของความสมดุลเหมือนกันหมด ฉันไม่เคยปิดบังสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ภายในตัวฉัน ยกเว้นมีมนุษย์มาทำให้ฉันไม่บริสุทธิ์เท่านั้น คือ มนุษย์อาจนำสิ่งอื่นมาเจือปนในตัวฉัน ทำให้ฉันเกิดเป็นสีดำคล้ำหรือมีสีต่าง ๆ ฉันอาจเกิดการเน่าส่งกลิ่นเหม็นรบกวนไปรอบ ๆ สิ่งมีชีวิตต่างๆ ที่อาศัยอยู่กับฉันก็พลอยลำบากและตายไปด้วย

พื้นที่สามส่วนสี่ในจักรวาลนี้ เป็นมหาสมุทรที่ฉันอาศัยอยู่ ในส่วนลึกภายในมหาสมุทรของตัวฉันจะเต็มไปด้วยความนิ่งสงบและมั่นคง หากมนุษย์ดำดิ่งสู่ก้นมหาสมุทร จะพบความสวยงามที่มีอยู่ภายในตัวฉัน เช่น ประการัง กัลปังหา ม้าน้ำ และฝูงปลาว่ายน้ำไปมางดงามยิ่ง ฉันมีความพอใจอยู่เสมอที่มีสิ่งชีวิตเหล่านั้นอาศัยอยู่ด้วยกับฉัน ส่วนบนผิวน้ำของตัวฉัน ฉันอาจจะมีความแปรปรวน แสดงออกมาเป็นคลื่นใหญ่หรือเล็กตามธรรมชาติ แต่เมื่อฉันกระทบฝั่งแล้วก็จะจางหายไป ฉันจะพาสิ่งสกปรกที่ปะปนมากับฉัน รวมทั้งเปลือกหอยทั้งหลาย ขึ้นไปสู่ฝั่งด้วย ทำให้ตัวฉันคงสภาพของความสะอาดและบริสุทธิ์ เช่นที่ฉันเคยเป็นมาก่อนแต่ดั้งเดิม

พวกสัตว์น้ำ ปลา ปู กุ้ง และหอย ได้อาศัยอยู่กับฉัน ฉันไม่เคยคิดถึงผลประโยชน์ตอบแทน แต่ชาวประมงเสียอีกจะนั่งอยู่ในเรือข้างบนตัวฉันเพื่อคอยจับสัตว์น้ำที่เป็นเพื่อนอยู่กับฉัน ฉันไม่สามารถที่จะปกป้องสัตว์น้ำเหล่านั้นได้ แต่หากมีลมมรสุมหรือพายุเกิดขึ้น ฉันจะแสดงความโกรธออกมา โดยการก่อตัวเป็นคลื่นยักษ์ ทำลายสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ข้างบนตัวฉันให้จมน้ำ

ฉันอาจจะเหมือนจิตใจมนุษย์ที่มีการขึ้น ๆ ลง ๆ โดยทุกวันในตอนเช้าและเย็น น้ำในมหาสมุทรจะเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกน้ำขึ้นและน้ำลง ในตอนกลางคืนที่น้ำขึ้นนั้น น้ำจะขึ้นสูงสุดในวันข้างขึ้นหรือข้างแรม 15 ค่ำ โดยทั่วไปชาวประมงได้ใช้ประโยชน์จากฉันในการออกทะเลในตอนกลางคืนเพื่อหาปลา ในบางครั้งฉันก็อาจจะท่วมบ้านเรือนของมนุษย์ที่อยู่บริเวณริมฝั่งใกล้เคียงกับฉัน ทำให้เกิดความเสียหายเล็กน้อยเท่านั้น เพราะฉันจะทำให้เกิดการท่วมเพียงระยะสั้น ๆ

มนุษย์ต้องมีความเพียรพยายามเพื่อสู่จุดหมาย เช่นเดียวกับการเดินทางโดยการพายเรือไปสู่จุดหมาย ทุกคนต้องให้ความร่วมมือ พร้อมเพียงและเป็นหนึ่งเดียวกัน มิฉะนั้นก็จะไม่สามารถถึงจุดหมายปลายทางตามต้องการได้

ความอดทนและอดกลั้นโดยไม่มีการโต้ตอบใด ๆ ทั้งสิ้นของฉัน ก่อให้เกิดธุรกิจทางการคมนาคม มีการลำเลียงสินค้าที่หนัก ๆ ทางทะเลบนตัวฉัน ผู้ที่รับผิดชอบจะต้องมีการตรวจสอบสภาพเรือ เช่น ไม่มีรอยรั่ว สินค้ามีน้ำหนักไม่มากเกินกำลังเรือ มิฉะนั้นสินค้าทั้งหลายรวมทั้งเรือก็จะจมน้ำได้

การท่องเที่ยวทางทะเล การว่ายน้ำหรือเล่นสกี ทำให้มนุษย์ได้รับการพักผ่อน คลายความตึงเครียดจากการงาน อย่างไรก็ตามหากมนุษย์ขาดความรับผิดชอบ ไม่มีการสำรวจตนเองว่ามีขีดความสามารถระดับใด ไม่ใช้เครื่องชูชีพ ฉันก็ทำให้มนุษย์จมน้ำตายได้เช่นเดียวกัน

พลังในการปรับตัวของฉันสูงมาก ฉันสามารถเปลี่ยนสถานะเป็นของแข็ง ของเหลวและไอ โดยปกติแล้วฉันจะถูกทำให้บริสุทธิ์โดยพลังงานความร้อน แหล่งพลังงานที่มาเผาผลาญฉันส่วนใหญ่ก็คือดวงอาทิตย์ ฉันจะเปลี่ยนสภาพตนเองจากของเหลวกลายเป็นไอ แล้วลอยตัวสูงขึ้น รวมตัวเป็นก้อนเมฆอยู่ในท้องฟ้า เมื่อฉันกระทบกับความเย็น ก็จะกลั่นตัวเป็นหยดน้ำ เรียกว่า ฝน ให้ความชุ่มชื้นแก่ดิน หากฉันกลั่นตัวเป็นของเหลวไม่ทัน ฉันก็จะเกิดเป็นลูกเห็บเหมือนก้อนน้ำแข็งตกลงมา ซึ่งอาจเกิดความเสียหายแก่อาคารบ้านเรือนได้

ในหน้าแล้ง ฉันจะไม่ค่อยตกลงมาเป็นฝน มนุษย์ต้องมีความเพียรพยายามและอดทนอย่างมากเพื่อทำฝนเทียม โดยใช้น้ำแข็งแห้งและส่วนผสมของเกลือแกง ฉันจะถูกทำให้กลั่นตัวเป็นหยดน้ำตกลงมา แต่ก็อาจไม่ตกลงมาตรงสถานที่ที่ต้องการได้

กรณีของความกดดันของอากาศบนพื้นดินและพื้นน้ำมีความแตกต่างกันมาก ฉันจะเกิดเป็นพายุฝนอย่างแรง ไฟฟ้าอาจเกิดการลัดวงจร มีฟ้าแลบและฟ้าผ่า อาจทำลายชีวิตผู้ที่อยู่นอกอาคารซึ่งมีวัตถุที่เป็นโลหะสื่อนำไฟฟ้าอยู่

ดังนั้นมนุษย์จำเป็นต้องมีบริสุทธิ์ ละวาง ความใส่ใจต่อสภาพที่ดีงาม มีความมานะ เพียรพยายาม รับผิดชอบ และมั่นคง จึงจะทำให้มีชีวิตที่อยู่เย็นเป็นสุข

พระอาทิตย์ กล่าวว่า น้ำได้บอกถึงสภาพดั้งเดิมที่เป็นธรรมชาติ มีความใสสะอาด บริสุทธิ์ เต็มด้วย ความรัก ละวาง และมีความสมดุล มั่นคง สภาพแวดล้อมที่อยู่ภายนอกมาทำให้เกิดความแปรปรวนและเปลี่ยนไป ความบริสุทธิ์จึงลดน้อยลง ดังนั้นมนุษย์ทุกคนต้องตระหนักถึงธรรมชาติของความบริสุทธิ์ ที่จะให้แต่คุณประโยชน์ที่แท้จริง สำหรับอากาศมีประสบการณ์และความเห็นอย่างไรบ้าง?

อากาศ บอกว่า ฉันอยู่ในรูปที่ไม่มีตัวตน เป็นตัวกลางที่ไม่สามารถมองเห็นได้ เมื่อฉันเคลื่อนที่ไปก็จะสามารถสัมผัสได้ ธรรมชาติดั้งเดิมของฉันเต็มไปด้วยความสงบ แต่เมื่อมีแรงดันมากระทำต่อฉัน ฉันก็จะโต้ตอบในทิศทางตรงข้ามทันที

สมาชิกของฉันประกอบด้วยก๊าซชนิดต่าง ๆ โดย 80 % จะเป็นก๊าซไนโตรเจน ที่เหลือจะเป็น ก๊าซออกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์ และ อื่นๆ สมาชิกฉันจะให้แต่คุณประโยชน์ เช่น ก๊าซออกซิเจนจะช่วยให้พืชและสัตว์สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะใช้ในการสังเคราะห์แสง ปรุงอาหารของพืช และช่วยดับไฟได้ด้วย ส่วนก๊าซไนโตรเจนจะเป็นก๊าซเฉื่อย จะช่วยควบคุมความสมดุลของบรรยากาศ นอกจากนี้มนุษย์สามารถเตรียมก๊าซเหล่านี้ให้บริสุทธิ์ เพื่อใช้ในการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมีตามต้องการ

อากาศที่บริสุทธิ์ ตามภูเขา ชายฝั่งทะเล ในสวน ตามท้องนาและชนบท จะทำให้มนุษย์มีความสดชื่น เย็นสบาย สามารถผ่อนคลายความตึงเครียด และมีปัญญาสุขุมได้ ในเวลากลางวัน ฉันเคลื่อนที่จากทะเลสู่บก ฉันจะถูกเรียกว่า ลมทะเล ส่วนในเวลากลางคืนฉันจะเคลื่อนที่จากบกสู่ทะเล ฉันก็จะถูกเรียกว่า ลมบก ฉันจะช่วยพัดพาเรือใบที่นำสินค้าให้เคลื่อนที่ไปได้ ชาวนาอาจสร้างกังหันลมไว้ ฉันก็จะช่วยในการวิดน้ำเข้านา ฉันจะเคลื่อนที่ไปตามทิศทางของพัดลมที่มนุษย์สร้างขึ้น ทำให้มนุษย์มีความเย็นสบายและพอใจ สามารถใช้เวลาที่ผ่านไปได้อย่างคุ้มค่า

เวลาที่ฉันเต็มไปด้วยความสะอาด บริสุทธิ์ สิ่งต่าง ๆ จะถูกมองเห็นได้อย่างชัดเจน หากมนุษย์ปีนขึ้นไปอยู่ที่สูง ในขณะที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งและแจ่มใส จะสามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่เบื้องล่างได้ เห็นสิ่งกีดขวางซึ่งเป็นอุปสรรค จะสามารถวางแผนเพื่อที่จะข้ามอุปสรรคไป เปรียบเหมือนผู้ที่มีสติปัญญาที่กระจ่างชัด เห็นอุปสรรค ปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน และสามารถแก้ไขให้ลุล่วงไปได้ แต่หากฉันเป็นอากาศที่ไม่บริสุทธิ์ มีเมฆหมอก กลุ่มควันหรือฝุ่นมากมาย จะทำให้ไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่เบื้องล่างได้ อุปสรรคทั้งหลายที่มีอยู่ก็จะไม่สามารถแก้ไขให้ผ่านพ้นไปได้

ความเป็นอิสระของฉัน ทำให้ฉันเคลื่อนที่ไปได้ทุกทิศทาง เกิดเป็นลมหรือพายุ หากความกดดันของอากาศเปลี่ยนไป ฉันก็จะแปรปรวนค่อนข้างง่าย ฉันจะเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นพายุไต้ฝุ่นหรือลมมรสุม ทำให้เกิดฝนตกหนัก ทำลายบ้านเรือนหลังคาปลิว ต้นไม้โค่นล้ม พืชสวนไร่นาเสียหาย ไฟฟ้าดับ เครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าเกิดการขัดข้อง เครื่องบินถูกระงับการบิน และเรือต้องงดออกจากฝั่ง แต่เมื่อพายุพัดผ่านไป ฉันก็จะกลับมาสงบเช่นเดิม

ดังนั้น มนุษย์ในดินแดนแห่งจักรวาลนี้ ไม่ควรที่จะมีความโกรธ ก้าวร้าว รุนแรง เหมือนพายุหรือมรสุมอย่างฉัน ควรจะมีความสงบ แล้วสติปัญญาจะกระจ่างชัดเหมือนท้องฟ้าที่แจ่มใส บรรยากาศที่สะอาดและบริสุทธิ์ จะทำให้มีชีวิตที่ยืนยาว เป็นสุข ปราศจากอุปสรรคต่าง ๆ

พระอาทิตย์ กล่าวว่า อากาศมีคุณค่าต่อชีวิตมนุษย์ ทำให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ การมีความสะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากเมฆ หมอก หรือฝุ่นละออง จะทำให้เห็นสิ่งต่าง ๆ ได้กระจ่างชัด สติปัญญาสุขุม ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ จะถูกแก้ไขให้หมดไปได้  สำหรับลูกไฟ ลูกก็ได้นั่งฟังมานาน ลูกมีประสบการณ์และความเห็นอย่างไรบ้าง?

ไฟ บอกว่า ฉันเป็นดวงไฟที่ยิ่งใหญ่ ธาตุแห่งแสงที่มีเต็มไปด้วยพลัง ฉันเป็นตัวของความร้อนและแสงสว่าง เป็นประทีปที่คอยส่องทางให้แก่มนุษย์ แต่ฉันไม่เคยบังคับให้มนุษย์ต้องเดินตามทางที่ฉันส่อง ขึ้นอยู่เขาจะเลือกทางเดินของเขาเอง

ฉันอาจถูกทำให้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากการเสียดสีและมีความร้อนสูงถึงจุดวาบไฟ หรือฉันอาจถูกสร้างขึ้นมาจากเชื้อเพลิง เช่น ก๊าซบางชนิด ถ่านไฟ ไฟเช็ค ไม้ขีด ตะเกียง หรือเทียนเป็นต้น

แสงสว่างของฉัน จะทำลายความมืดที่เป็นอุปสรรคให้หมดไป เปรียบเหมือนการมีสติปัญญาที่กระจ่างชัด สามารถทำลายอุปสรรค ใช้เวลาทุกวินาทีที่ผ่านไปได้อย่างมีค่า ไม่ว่าจะเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน ส่วนพลังความร้อนของฉันจะช่วยฆ่าเชื้อโรค ให้ความอบอุ่นแก่มนุษย์ ทำให้อาหารสุก และปลอดภัยต่อสุขภาพ

ฉันจะขจัดขยะหรือสิ่งที่ไม่ต้องการ โดยการเผาไหม้ให้หมดไป ในป่าที่มีใบไม้แห้งตกตามพื้นต้องดูแลให้เรียบร้อย หากมนุษย์ มักง่าย ขาดความระมัดระวัง ทิ้งเศษวัสดุที่ก่อให้เกิดการติดไฟ พวกก้นบุหรี่ เศษแก้วที่จะก่อให้เกิดจุดรวมแสง ฉันจะทำให้เกิดไฟไหม้ป่าได้ ทำให้บรรยากาศทั่วทั้งบริเวณมืดครึ้ม อบอ้าว อากาศไม่บริสุทธิ์ ขาดออกซิเจน ผู้คนได้รับอากาศมีพิษ อาจเป็นลมและเสียชีวิตได้ สัตว์ป่าจะไร้ที่อยู่อาศัย สมดุลของธรรมชาติจะเสียไป จะมีความเสียหายมากมายเกิดขึ้น

ดังนั้นมนุษย์ต้องมีความเอาใจใส่ที่จะใช้พลังงานจากฉันอย่างถูกต้อง ให้เกิดประโยชน์สูงสุด หากขาดความระมัดระวังก็อาจเกิดผลเสียมากมายตามมา

พระอาทิตย์ กล่าวว่า ดวงไฟเป็นแสงประทีปที่ช่วยส่องทางไปสู่ความสำเร็จในชีวิต สามารถทำลายเผาผลาญทุกสิ่งให้หมดไปในเวลาอันสั้น ไฟจึงมีคุณประโยชน์อย่างอนันต์แต่ก็มีโทษอย่างมหันต์ มีการเปรียบว่าโจรเข้าบ้านถึง 10 ครั้ง จะไม่เท่ากับไฟไหม้เพียงครั้งเดียว หากประมาทไม้ขีดไฟเพียงก้านเดียว ก็อาจเผาเมืองได้ทั้งเมือง ดังนั้น มนุษย์จำเป็นต้องมีความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง

พ่อ ขอบคุณลูก ๆ ดิน น้ำ อากาศ และไฟ เป็นอย่างยิ่งที่ได้เล่าบทบาทและประสบการณ์ในอาณาจักรของดินแดนจักรวาล ลูก ๆ สามารถแสดงบทบาทได้ดีมาก มีการพิจารณาสำรวจตนเอง สามารถแยกแยะตัดสินได้ดี ลูกได้ให้ข้อคิดที่เป็นประโยชน์ พ่อจะนำมาเป็นข้อมูลในการกำหนดบทบาทของไพร่ฟ้าประชาชี ในดินแดนที่ปกครองนี้ต่อไป และพ่อหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ในศตวรรษใหม่มนุษย์จะมีธรรมชาติที่ดีงาม มีคุณธรรมเพิ่มขึ้น มีชีวิตที่ร่มเย็นและอยู่อย่างมีความสุขยิ่งขึ้นตลอดไป
Om Shanti


แต่งโดย ผศ.เสาวนีย์ ก่อวุฒิกุลรังษี