ความรักที่แท้จริง

ไม่มีมนุษย์คนไหนที่ไม่เคยสัมผัสถึงความรู้สึกของความรัก ความรักคือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของเรา บุคลิกภาพและการใช้ชีวิตประจำวันของเราก็จะเป็นไปตามสิ่งที่เราชอบ ถ้ามนุษย์มีชีวิตอยู่ 50 ปีแต่ไม่เคยแสดงความรักออกมาเลยเป็นเวลา 30 ปี เป็นไปได้ที่จะกล่าวว่าเขามีชีวิตอยู่เพียงแค่ 20 ปีเท่านั้น B.K.จักดิช หัวหน้าโฆษกของบราห์มากุมารี มหาวิทยาลัยทางจิตของโลก กล่าวว่า "ชีวิตที่ปราศจากความรักคือชีวิตที่ปราศจากเสียงดนตรี"

ความรักคือสิ่งสำคัญในชีวิตของเรา แต่โลกก็ยังลืมความหมายที่แท้จริงของความรัก มนุษย์ได้ฆ่าความรักด้วยความอยากความปรารถนาของตนเอง ตลอดศตวรรษที่ผ่านมามนุษยชาติได้นำคำว่า "ความรัก" ไปใช้ในทางที่ผิด หรือใช้อย่างไม่ถูกต้อง ความรักไม่ใช่เป็นเพียงแค่ความรู้สึกพิเศษซึ่งคุณอาจจะมีกับเพื่อนหรือญาติมิตรของคุณเพียงชั่วขณะ แต่ความรักเป็นมากยิ่งกว่านั้น ความรักที่แท้จริงนั้นไม่มีขีดจำกัด คงอยู่นิจนิรันดร์ และเป็นสากล รูปแบบของความรักที่บิดเบือนไปอยู่บนพื้นฐานของความคิดของชีวิตที่เป็นร่างกาย

ผลของความรักที่แท้จริง

เมื่อแต่ละคนรักกัน จะมีความรู้สึกที่พิเศษในหัวใจของเขา แต่ความพึงพอใจของความรักไม่ได้อยู่ที่ความรู้สึกในตัวของมันเอง แต่มันอยู่ที่ความสุขสนุกสนานที่ความรู้สึกสร้างขึ้น ความรู้สึกประเภทนี้นำไปสู่ความซาบซึ้ง และหากมันมีมากกว่าความสนุกสนานและความซาบซึ้งที่มีอยู่แล้ว เมื่อมันหายไปความสุขสนุกสนานก็หายไปด้วยเช่นกัน

ความรักของมนุษย์ที่มีต่อกันนั้นผลที่ตามมาไม่ควรเป็นความอิจฉาริษยาหรืออยู่ในภาวะจำยอมให้อยู่ในเงื่อนไข แต่ควรจะเป็นความสุขและความพอใจเสมอ ถ้าหากผลที่เกิดขึ้นจากความรักเป็นความอิจฉาริษยาแล้ว นั่นไม่ใช่ความรักที่แท้จริง แต่อาจเป็นความรักที่เห็นแก่ตัวหรือความรักที่มุ่งแต่ตนเอง ความรักที่เห็นแก่ตัวทำให้เห็นถึงคนที่โลภอย่างมาก คือผู้ที่คิดถึงแต่ตัวเองเท่านั้น ความรักไม่ควรทำให้ชีวิตเราไม่มีความสุข แต่เป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข ความพอใจ และความซาบซึ้ง ถ้าหากคุณคิดว่าคุณรักทุกคนและสร้างความรักนั้นจากทัศนคติและความชอบของคุณ แต่คุณก็ยังไม่สัมผัสถึงความสุข แสดงว่าความรักของคุณอาจถูกปะปนด้วยความอยากความปรารถนาอย่างใดอย่างหนึ่ง ความรักที่แท้จริงหมายถึงความรักที่ไม่มีเงื่อนไข นั่นก็คือไม่ถูกปะปนด้วยความอยากความปรารถนาทางวัตถุใดๆ เมื่อความรักประเภทนี้อยู่ท่ามกลางมนุษย์ก็จะเป็นความรักที่แท้จริง เราจำเป็นต้องเข้าใจว่าความรักที่ไม่มีเงื่อนไขไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความคิดของชีวิตที่เป็นร่างกาย แต่เป็นความคิดทางจิตวิญญาณ ดังนั้นเพื่อที่จะแสดงความรักที่ไม่มีเงื่อนไขต่อผู้อื่น ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับ ตนเอง พระเจ้า และโลก ก็เป็นสิ่งที่จำเป็น

บทบาทของความรักในความสัมพันธ์

การที่จะมีความสัมพันธ์ที่สอดคล้องกลมกลืนอยู่ในกลุ่มผู้คนหรือในระหว่างคนสองคน ความรักมักจะมีบทบาทสำคัญอย่างมาก ถ้าหากความรักที่อยู่ในท่ามกลางพวกเรานั้นถูกปะปนไปด้วยความอยากความปรารถนารูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง และแล้วความสอดคล้องกลมกลืนนั้นก็จะไม่คงอยู่อีกต่อไป ถ้าหากความอยากความปรารถนานั้นไม่ได้รับการตอบสนองความโกรธก็จะปรากฎขึ้นมา และถ้าหากความอยากความปรารถนาใดๆได้รับการตอบสนองแล้ว ความรักก็จะหายไป และกลายเป็นความหลงทะนงตน ดังนั้น หลักสำคัญของความสัมพันธ์ที่สอดคล้องกลมกลืนกันคือความรัก แต่โชคร้ายเหลือเกิน ที่ความรักที่แท้จริงไม่ได้มีอยู่ในความสัมพันธ์ของคนเราส่วนใหญ่ ผู้คนมากมายต่างบอกกันและกันว่า "ฉันรักเธอ, ฉันรักเธอมาก รักของเราจะไม่มีวันพรากจากกัน" แต่เพราะด้วยความเข้าใจผิดเพียงเล็กน้อย ความสัมพันธ์นั้นก็ขาดสะบั้นลง นี่คือความรักที่คงอยู่ชั่วนิจนิรันด์หรือ? เป็นไปไม่ได้สำหรับใครก็ตามที่จะคงความคิดของชีวิตที่เป็นร่างกายไว้และในขณะเดียวกันก็สัมผัสกับความรักที่คงอยู่ตลอดไป ร่างกายของเราและสิ่งของวัตถุต่างๆทั้งหลายมันไม่ได้คงอยู่ตลอดไปแต่อยู่เพียงชั่วคราว เมื่อเรามีความรักต่อร่างกายและต่อวัตถุสิ่งของเพียงครั้งเดียว ความทุกข์ก็จะเข้ามาอย่างแน่นอน นี่คือกฎเกณฑ์

ความรักของเราควรมีต่อดวงวิญญาณไม่ใช่ต่อร่างกาย ดวงวิญญาณไม่สูญสลาย แต่ร่างกายนั้นสูญสลาย เป็นไปได้ที่จะพูดว่า ความรักที่คงอยู่ตลอดไปนั้นมีอยู่ในระหว่างดวงวิญญาณเท่านั้น เช่น ถ้าใครมาให้ดอกกุหลาบที่สวยงามแก่คุณและขณะที่มองดอกกุหลาบด้วยสายตา ความรู้สึกของความรักและความนับถือก็ออกมาจากภายใน ความรู้สึกนี้มาจากดวงวิญญาณที่ใช้สายตา แม้ว่าจะเอาดอกไม้ออกไปจากสายตาแล้ว แต่ความรู้สึกก็ยังคงอยู่ นี่แสดงว่าความรักมาจากดวงวิญญาณที่ควรจะตรงไปสู่ดวงวิญญาณ

ถ้าหากใครกำลังเล่นกีต้าร์ และบุคคลนั้นเล่นได้ดีเยี่ยม และแล้วความรักของทุกคนก็จะไปสู่ผู้ที่กำลังเล่นกีต้าร์ ไม่ใช่ตัวกีต้าร์เอง ดังนั้นความรักของเราก็ควรตรงไปยังผู้ใช้ร่างกาย ไม่ใช่ร่างกาย

ความรักที่เป็นสากล

สำหรับผู้ที่แสดงความรักที่เป็นสากล ความรักนั้นไม่ควรเห็นแก่ตัว เปิดหัวใจและแสดงความรักนั้นกับทุกคน โดยไม่คำนึงถึงสีผิว ความเชื่อ เพศ ศาสนา และอื่นๆ เมื่อหัวใจของคุณกว้างใหญ่เหมือนมหาสมุทร คุณก็จะสามารถโอบอุ้มทั้งโลกไว้ได้ หากคุณมีความรักเฉพาะประเทศของคุณ แม้ว่าประเทศของคุณจะกว้างใหญ่เพียงใด แต่มันก็รู้สึกว่าถูกจำกัดจากความรัก ความรักที่เป็นสากลนั้นไม่มีขีดจำกัด สามารถทำให้คุณรักผู้ที่เป็นศัตรูที่ร้ายที่สุดของคุณได้ มันง่ายมากที่คุณจะรักคนที่เขารักคุณ แต่มันยากมากที่จะรักคนที่เกลียดคุณ เมื่อคุณสามารถเอาชนะความรู้สึกเกลียดชังด้วยพลังของสำนึกที่เป็นดวงวิญญาณ แม้กระทั่งสามารถรักศัตรูที่ร้ายที่สุดของคุณได้ เวลานั้นคุณได้แสดงความรักที่เป็นสากลออกมาแล้ว

ความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวทำให้งานที่ยากลำบากสำเร็จลงได้อย่างง่ายดาย เช่น บราห์มา บาบา (ผู้ก่อตั้ง บราห์มา กุมารี มหาวิทยาลัยทางจิตของโลก) ท่านเป็นพ่อค้าเพชร เป็นมหาเศรษฐี ท่านได้ยกสมบัติของท่านทั้งหมดเพื่องานรับใช้โลก และในขั้นตอนการปฎิบัติเช่นนั้น ท่านได้เผชิญกับการขัดขวางอย่างรุนแรงจากผู้คนมากมาย แม้กระทั่งพยายามจะเข่นฆ่า แต่เพราะด้วยความรักของท่านที่มีต่อพระเจ้า ท่านสามารถเอาชนะอุปสรรคทั้งหมดและกลายเป็นผู้มีชัยชนะ ท่านไม่เคยวิตกกังวลกับสถานการณ์ใดๆ ทั้งหมดนี้เพราะท่านมีความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวต่อพระเจ้า ดังนั้นความรักที่แท้จริงทำให้งานซึ่งดูเหมือนว่ายากลำบากนั้นง่ายดาย

ถ้าคุณถูกขอร้องให้กอดคนที่คุณเกลียด คุณก็จะตื่นเต้นใจหายใจคว่ำอย่างมาก แต่ถ้าให้กอดคนที่คุณรักนั้นมันง่ายมาก ดังนั้น สิ่งใดก็ตามที่คุณทำจากหัวใจจะประสบความสำเร็จเสมอ เพราะว่ามีความรักในขณะที่ทำสิ่งนั้น

แม้ว่าพระเยซูคริสต์จะเป็นคนดี แต่คนก็ยังจับท่านตรึงกางเขนด้วยตะปู และกล่าวโทษท่านผิดๆ ท่านไม่ได้เกลียดศัตรูของท่าน แต่ท่านกลับร้องขอพระเจ้าเพื่อให้อภัยกับพวกเขาแทน เพราะท่านรู้ว่าพวกเขาโง่เขลา นี่คือตัวอย่างของความรักที่ไม่เห็นแก่ตัว

รูปแบบของความรักที่บริสุทธิ์ที่สุด

ด้วยการรักพระเจ้าคือรูปแบบของความรักที่บริสุทธิ์ที่สุดที่ใครๆ ก็ตามสามารถมีประสบการณ์ได้ เป็นการยากที่จะอธิบายถึงความรู้สึกของประสบการณ์เช่นนั้น ซึ่งคนคนนั้นควรจะสัมผัสด้วยตัวเอง ถ้าหากใครให้น้ำผึ้งกับคุณและพยายามอธิบายว่ามีรสหวานอย่างไร แต่คุณปฏิเสธไม่รับน้ำผึ้งนั้นและคิดว่ามันคือน้ำมัน คุณจะไม่มีวันรู้ถึงความจริงเลย เพราะคุณไม่เคยลิ้มรสน้ำผึ้งนั้น ทำนองเดียวกันกับการมีความสัมพันธ์กับพระเจ้า

การรักพระเจ้าคือการรักมนุษยชาติ และด้วยการรักมนุษยชาติคุณจะรับใช้มนุษยชาติอย่างไม่เห็นแก่ตัว การรักพระเจ้าคือรากฐานสำหรับการเพาะปลูกชีวิตทางจิต ถ้าเราทนุถนอมความรักของเราที่มีต่อพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ และแล้วคุณธรรมที่สูงส่งทั้งหมดก็จะได้มาอย่างเป็นธรรมชาติ นี่คือพลังของความรักที่สูงส่ง ผู้คนส่วนใหญ่ถูกถามว่า "คุณรักพระเจ้าไหม? คำตอบคือ "โอ แน่นอน ฉันรักพระเจ้ามาก" แต่แล้วก็เกิดคำถามขึ้นว่า "แล้วคุณทำตามคำสอนของพระเจ้าไหม?" นี่ช่างเป็นเรื่องที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง อย่างไรก็ตามความจริงนั้นคือ การรักพระเจ้าหมายถึงการทำตามหนทางของท่าน เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องที่จะพูดว่า "ฉันรักพระเจ้าแต่ไม่ได้ทำตามหนทางของท่าน" เมื่อสาวกถามพระเยซูคริสต์ว่า "กฎเกณฑ์แรกของชีวิตทางจิตวิญญาณคืออะไร" พระเยซูคริสต์ตอบว่า "รักพ่อของคุณด้วยหัวใจและจิตวิญญาณของคุณ" พระเยซูรู้ว่า เมื่อเรามีความรักต่อพระเจ้า ทุกๆสิ่งก็จะกลับมาง่ายดาย ความรักพระเจ้าขจัดอุปสรรคสิ่งกีดขวางออกไปจากชีวิตทางจิต

เมื่อผู้คนพิจารณาการใช้ชีวิตของบราห์มากุมารและกุมารี พวกเขาก็ถามว่า "ชีวิตของคุณมีความสุขจากการได้รับใช้ การทำสมาธิ และทำงานรับใช้ช่วยเหลือมนุษยชาติอยู่เสมอหรือ?" สิ่งนี้เป็นไปได้เพราะชีวิตของเขาตั้งอยู่บนรากฐานของความรักต่อพระเจ้า พวกเขาเข้าใจว่าความรักที่ได้ในโลกนี้ทุกสิ่งเป็นเพียงชั่วคราว พวกเขาสัมผัสกับความรักที่สูงส่งกว่านั้น ที่ไม่สามารถจินตนาการได้จากนักเขียนนวนิยายรัก ๆ ใคร่ ๆ

ความเข้มข้นของการสวดมนต์และการฝึกจิตขึ้นอยู่กับระดับของความรักที่คุณมีต่อพระเจ้า การฝึกจิตมีคำนิยามมากมาย แต่คำนิยามที่ดีที่สุดคือการทำให้จิตใจของคุณมีความรักที่มั่นคงต่อพระเจ้า ความรักคือเชื้อเพลิงสำหรับจรวดของจิตใจของคุณ หากปราศจากเชื้อเพลิงของความรักแล้ว จรวดของจิตใจก็จะไม่สามารถค้นหาคุณสมบัติอันกว้างใหญ่ของพระเจ้าได้


แปลมาจากบทความเรื่อง True Love
โดย BK Ganesh, 24, Toronto
ในจุลสาร 'Message from Youth' Edition 8 Summer1992 พิมพ์ที่ London.
แปลโดย ผศ.ทรงชัย วีระทวีมาศ (webmaster)