ดวงวิญญาณ
โอมชานติ คือสาระ ต้องเรียนรู้
ชานติ คือสันติ สู่นิพพาน
คำว่าฉัน แท้จริง คือสิ่งนี้
จุดเล็ก ๆ มากพลัง พึงสังวร
คุณสมบัติ ดวงวิญญาณ คือสงบ
สิ่งภายนอก มีตัวตน มาราวี
ดวงวิญญาณ นั้นมี บริสุทธิ์
เมื่อหันกลับ มองตนเอง สู่ภายใน
ดวงวิญญาณ นั้นเต็ม ด้วยความรัก
รักตนเอง รักชาวโลก อย่างเกลียวกลม
ดวงวิญญาณ นั้นเป็น อมต
ทุกชีวิต เป็นวิญญาณ์ ที่ไม่ตาย
ดวงวิญญาณ มองไม่เห็น ด้วยตานี้
ตาที่ 3 ของความรู้ เห็นนิพพาน
โอมคือผู้ รู้ตนเอง ดวงวิญญาณ
สองสิ่งสาน สุขสำราญ นิรันดร
เป็นสิ่งชี้ ไม่ใช่ร่าง พลันม้วยมร
มากด้วยพร เมื่อใช้อย่าง ถูกวิธี
แต่กลับพบ ความวุ่นวาย จากวิถี
แต่ชีวี สงบได้ จากภายใน
ไม่ต้องขุด หรือค้นหา จากที่ไหน
เห็นจิตใจ ขาวสะอาด สุดกล่าวชม
แต่กลับมัก ค้นหา คู่สุขสม
ไม่ทุกข์ตรม ค้นหารัก จากผู้ใด
ไร้พันธะ อิสระ จากร่างกาย
คือความหมาย ไร้กลัวเกรง ทุกเหตุการณ์
เป็นสิ่งที่ ใช้ปัญญา มาประสาน
คือรากฐาน การหยั่งรู้ ในตนเอง


ดวงวิญญาณอันเสรี
ฉันคือ ดวงวิญญาณอันเสรี
จุดเล็ก ๆ ดุจดวงดาวบนฟ้าไกล
ฉันคือ พลังแห่งชีวิต
ใช้จิตใจสร้างความคิดสู่อารมณ์
ฉันคือ ผู้ควบคุมและบังคับ
พร้อมแยกแยะตัดสินสิ่งชั่วดี
ฉันคือ ผู้กระจายความสงบ
รอยประทับความทรงจำย้ำจิตใจ
มากมีความงามสว่างไสว
แสงสดใสสว่างล้ำย้ำให้ชม
ทุกความคิดเคลื่อนไปอย่างเหมาะสม
ไม่ระทมเพราะรู้สึกแต่สิ่งดี
ร่างฉันรับสติปัญญาสู่วิถี
ทุกท่วงทีกระทำอย่างเข้าใจ
ให้โลกพบความนิ่งจากภายใน
สร้างนิสัยสร้างชีวีมีชีวา



ฉันคือดวงวิญญาณ
ฉันคือดวงวิญญาณ
เพราะมีความสุขภายใน
ฉันคือความสงบ
สร้างสุขให้แก่กัน
ฉันคือแสงสดใส
เพชรพลอยอัญมณีสีแดง
ฉันนั้นไร้ตัวตน
ร่างนี้เป็นเครื่องแต่งกาย
เฝ้าบันดาลแต่สุขใจ
จึงสดใสได้ทุกวัน
ทุกถ้อยทบสื่อสร้างสรรค์
ไม่รุกรานหรือรุนแรง
พร้อมจะให้ไม่เคลือบแคลง
ความรู้แฝงในจิตใจ
จึงเปี่ยมล้นอยู่ภายใน
ถอดออกได้อย่างละวาง



ดวงวิญญาณสูงสุด
ใครคือดวงวิญญาณสูงสุด
เป็นสัจจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ท่านมั่นคงในความบริสุทธิ์
เหนือการกระทำและผลกรรมใด ๆ
อยู่เหนือความสุขและความทุกข์
ล่วงรู้เงื่อนงำของสัจจา
ท่านนำทางไปสู่การหลุดพ้น
ชำระล้างบาปกรรมอย่างแท้จริง
ท่านอาศัยอยู่ในโลกความสงบ
โลกนิพพานเหนือจำกัดของเวลา
ชื่อของท่านคือชีว่ามีความหมาย
สองนั้นเป็นเมล็ดแห่งสัจจา
ความสัมพันธ์ของท่านกับเรานั้น
เป็นที่รักหนึ่งเดียวที่หมายปอง
เมื่อพบท่านฉันได้รับทุกสิ่ง
ไร้ความทุกข์มีแต่สุขทุกคืนวัน
ท่านนั้นคือจุดแห่งแสง
จึงเป็นแหล่งแห่งกำเนิดของจิตใจ
ดุจดั่งมหาสมุทรอันกว้างใหญ่
ไม่เกิดตายเพราะไม่มีกายา
เหนือทุกยุคทุกกาลเวลา
ได้ลงมาเปิดเผยถึงความจริง
ให้ทุกคนเป็นอิสระจากทุกสิ่ง
ไม่หยุดนิ่งตัดบ่วงกรรมที่ทำมา
แสงบรรจบสีแดงทองไกลสุดฟ้า
ที่ทุกคนจากมาต้องกลับไป
หนึ่งนั้นไซร้ให้ประโยชน์เป็นหนักหนา
สามนั้นหนาเป็นจุดแสงแห่งนิรันดร์
ไม่ขีดขั้นเป็นพ่อเพื่อนพี่น้อง
ผู้ที่ต้องมีในทุกความสัมพันธ์
เป็นความจริงขึ้นมาจากความฝัน
ได้พลิกผันพาตนหลุดพ้นเอย


ยุคบรรจบพบกัน
บาบาชั่งอ่อนหวาน
วิญญาณคือลูกไซร้
มองคนรอบ ๆ ข้าง
เล่นบทของลูกคือ
ละครของมนุษย์
กลับบ้านของเราก่อน
เมื่อทำงานรับใช้
อนาคตจะมา
ยุคเหล็กในตอนนี้
แล้วเปลี่ยนเป็นยุคทอง
ก่อนถึงยุคทองนั้น
บาบาสอนยุคตี
เป็นราชาโยคี
ประสาทสัมผัสย้ำ
มาสอนญาณให้ลูกใช้
ส่วนร่างกายให้เครื่องมือ
อย่างละวางไม่ยึดถือ
เป็นเครื่องมือของละคร
เริ่มสิ้นสุดเปลี่ยนฉากตอน
ด้วยขั้นตอนของ Karma
ก็จะได้โชคนา ๆ
เป็นเทวาผู้ปกครอง
คือยุคที่แสนมัวหมอง
ความมัวหมองจะไม่มี
บรรจบกันยุคต้องมี
ในยุคนี้ให้ลูกทำ
ที่มากมีควบคุมกรรม
ให้ลูกจำคำเมอร์ลี


วงจรละครโลก
ขอกล่าวถึงตำนาน
เริ่มต้นจากยุคใหม่
ยุคนั้นคือยุคทอง
ลักษมี-นารายณ์คู่ตำนาน
* ละครดำเนินไป
ต่อไปคือยุคเงิน
ราม-สีดาให้สุขทุกชีวิน
เข้าสู่ยุคทองแดง
ผู้นำศาสนาเข้ามาสอน
ยุคเหล็กที่มืดมน
ศาสนาถูกปล่อยวาง
ก่อนจบสิ้นยุคเหล็ก
เปลี่ยนแปลงทุกชีวัน
สู่บ้านที่แสนหวาน
แล้วมาเล่นบทใหม่
5000ปีถัดไป
สู่วันวานอันยาวไกล
ที่สดใสสุขสำราญ
ผู้ปกครองถูกกล่าวขาน
สร้างสืบสานวิมานบนดิน
ฉากใหม่ ๆ เข้ามาแทน (ซ้ำ)
ยังเพลิดเพลินไร้ราคิน
มาจบสิ้นครึ่งวงจร *
ทุกข์แอบแฝงทุกขั้นตอน
ค้ำจุนก่อนจะอับปาง *
แสนสับสนไร้ลู่ทาง
มากอวดอ้างอำนาจกัน *
เกิดยุคเพชรเข้ามากั้น
ทุกสิ่งอันก่อนกลับไป *
โลกวิญญาณไร้เคลื่อนไหว
ที่สดใสในยุคทอง *
ชีวิตได้เล่นบทเดิม


วงจรละครโลก มีทั้งหมด 5000 ปี แบ่งเป็น ยุคทอง ยุคเงิน ยุคทองแดง ยุคเหล็ก แต่ละยุค 1250 ปี และยุคเพชรอยู่ระหว่างยุคเหล็กและยุคทอง 100 ปี


ยุคทอง
ยุคทองนั้นงดงาม
งดงามด้วยหัวใจ
ทุกสิ่งเป็นศิลปะ
ให้ความสุขทุกขั้นตอน
ร่ายรำด้วยความสุข
ทุกสิ่งตามประสงค์
ไร้คำถามความสงสัย
เป็นผู้ให้และรับพร
มีสัจจะในคำกลอน
ดุจละครตอนจบลง
แม่นยำและสูงส่ง
ด้วยมั่นคงในสำนึกเป็นดวงวิญญาณ



อมฤตเวลา
อมฤตเวลา
บาบาปลุกลูกทุกทั่วทิศ
บาบาพาฉันท่องไป
หมุนวงจรสู่แดนนิพพาน
บาบาพาฉันเคลื่อนไป
รับสมบัติที่แท้จริง
อยู่ในห้วงแห่งความสงบ
เป็นตัวของสิ่งที่ได้มา
สร้างชีวาให้มีชีวิต
ตื่นเถิดดวงจิตที่แสนหวาน
สู่ยุคสมัยที่ผันผ่าน
คือแดนวันวานเคยพักพิง
สู่จิตภายในไม่หยุดนิ่ง
ละทิ้งแอบอิงละพึ่งพา
ค้นพบความจริงที่ใฝ่หา
แล้วกระจายคุณค่าให้โลกเอย...



เสียงขลุ่ยจากสวรรค์
ให้ลูกทุกทั่วทิศ
เสียงนั้นชั่งไพเราะ
ไม่นานหินกลับกลาย
จิตลูกดังเช่นหิน
ความแข็งอีกผสม
ด้วยเสียงขลุ่ยวิเศษ
ความแข็งคมหมดไป
เร่งคืนวันเร่งชีวิต
ขัดเกลาจิตขัดเกลาใจ
ดุจน้ำเซาะเจาะหินไช
ถูกทำลายซึ่งเหลี่ยมคม
ยังไม่สิ้นความแหลมคม
ทำลูกจมตรมด้วยใจ
สานเสียงเทศน์กล่อมภายใน
สู่เป้าหมายความสมบูรณ์


เมอร์ลี คือคำสอนของบาบา เพื่อทำให้เรากลับมาบริสุทธิ์เช่นเดียวกับท่าน

บราห์มิน
ชาวสกุลบราห์มินที่สูงส่ง
ผู้กระตือรือร้นไร้สิ่งดึง
เมื่อพบพ่อเราพบทุกสิ่ง
สู่ยุคทองโลกใหม่ที่จะมา
เป็นผู้รับและให้แต่ความสุข
ไม่มีโกรธไม่มีหยิ่งทะนง
เป็นผู้อาบในสมุทรแห่งความรู้
อยู่อย่างเบาสบายได้ทั้งวัน
เป็นผู้หล่อเลี้ยงไฟบูชายัญ
ให้ลุกโชนโชติช่วงไม่มอดไหม้
ผู้มั่นคงทรงจำระลึกถึง
ผู้ลึกซึ้งในคำสอนของบาบา
แล้วละทิ้งโลกเก่าที่ไร้ค่า
โดยจดจำบาบาอย่างมั่นคง
ไม่มีทุกข์อันใดให้ไหลหลง
ไม่ประสงค์สิ่งใดให้ผูกพัน
เป็นนักสู้มายารู้เท่าทัน
อุปสรรคกั้นไม่หวั่นฝ่าฟันไป
สร้างและสรรค์สวรรค์อันยิ่งใหญ่
งานรับใช้ดำเนินไปอย่างมั่นคง


ศรี กฤษณะ
ศรีกฤษณะเจ้าชายของสวรรค์
บุคลิกท่าทางดึงดูดใจ
หน้าตาบ่งบอกถึงจิตใจ
สูงส่งงดงามทุกท่วงกริยา
มีมงกุฎสองชั้นที่ยิ่งใหญ่
สองมงกุฎพลังพาก้าวไป
กฤษณะอาศัยในยุคทอง
บริสุทธิ์ทั้งร่างใจให้ได้ยล
ด้วยบราห์มารับความรู้จากพระเจ้า
ผลได้รับชาติเกิดทั้ง 21
สมบูรณ์พร้อมทั้ง 16 องศา
อีกทั้งยังไม่ทะนงหลงตนไป
ถ้าเราเห็นกฤษณะในตอนนี้
รับคำสอนจากพระเจ้าเฝ้าบันดาล
สร้างสีสันให้โลกดูสดใส
ไม่ว่าใครยกย่องและศรัทธา
เปี่ยมล้นภายในมากมายหนักหนา
ทุกเวลามีรอยยิ้มอิ่มเอิบใจ
หนึ่งนั้นไซร้มงกุฎแสงแสนสดใส
บริสุทธิ์ให้พลังปกครองตน
ไม่มีสองที่จะมาให้สับสน
ซึ่งเป็นผลที่ได้จากยุคเพชร
แล้วจึงเฝ้าจดจำแต่เมล็ด
กลายเป็นเพชรที่แข็งแกร่งและยองใย
อีกสิ่งหนาไร้กิเลสแสนสดใส
พร้อมกับได้คุณธรรม 36 ประการ
ในทันทีอยากเปลี่ยนแปลงอย่างกล้าหาญ
ทิ้งวันวานบริสุทธิ์ได้ด้วยใจเอย